กระดูกพรุน ปัญหาสุขภาพระดับโลก เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป
เชื่อหรือไม่!
ปัจจุบันอุบัติการณ์โรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับ 2
ของโลก และอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลง
ใครที่เคยคิดว่าโรคกระดูกพรุนเป็นเรื่องไกลตัว
หรือเป็นเรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้นคงต้องคิดใหม่
นอกจากสถิติที่น่าเป็นห่วงจากองค์การอนามัยโลก (WHO)
ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติยังเปิดเผยว่า
ภาวะกระดูกพรุนทำให้ทุก 3 วินาที มีคนกระดูกหัก และทุก 22 วินาที
มีคนกระดูกสันหลังหัก สำหรับคนไทย
มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์
พบว่าในกลุ่มผู้สูงวัยอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ผู้หญิง
1 ใน 3 คน และผู้ชาย 1 ใน 5 คน มีปัญหากระดูกพรุน
และแต่ละคนต้องสูญเสียค่ารักษาเฉลี่ยถึงปีละ 3 แสนบาท1
ฟังดูแล้วถือว่าน่าตกใจไม่ใช่น้อย สถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ (Nutrilite
Health Institute) เล็งเห็นถึงความสำคัญของสุขภาพกระดูก
จึงสนับสนุนให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างสุขภาพกระดูกให้แข็ง
แรงเพราะคนไทยส่วนใหญ่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่ถึงครึ่งของปริมาณขั้นต่ำ
ที่ร่างกายต้องการต่อวัน บวกกับพฤติกรรมทำร้ายกระดูกต่างๆ
ยิ่งทำให้ปัญหาสุขภาพกระดูกเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกต้องหันมาให้ความสำคัญ
โรคกระดูกพรุน
เกิดจากการที่แคลเซียมสลายออกจากกระดูกมากกว่าการสร้างมวลกระดูก
ทำให้ความหนาแน่นในกระดูกลดลง รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระดูก
ส่งผลให้รูพรุนที่มีอยู่เป็นปกติในเนื้อกระดูกสลายตัวออกจนรูพรุนกว้างขึ้น
กระดูกบางลงจนไม่สามารถรองรับน้ำหนักหรือแรงกระแทกได้ตามปกติ
กระดูกจึงหักได้ง่าย โรคนี้จะไม่ปรากฏอาการผิดปกติใดๆ
โดยกว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีการแตกหักของกระดูก
หรือได้รับการกระแทกเพียงเบาๆ กระดูกก็หักแล้ว
บางรายถึงขั้นทุพพลภาพหรือเสียชีวิต เนื่องจากเกิดอาการแทรกซ้อนตามมา
นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยยุวัฒน์
เปิดเผยว่า "องค์การอนามัยโลก รายงานว่า
สถิติผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุข
อันดับ 2 รองจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด2
โดยอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
กระดูกพรุนเป็นปัญหาสุขภาพที่คนไทยมักมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว
หรือเป็นเรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
แคลเซียมถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อความสมบูรณ์แข็งแรงของกระดูก
และการได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอในทุกช่วงวัยจะทำให้เสี่ยงที่จะประสบกับภาวะ
กระดูกแตกหรือกระดูกร้าวได้เมื่อสูงอายุขึ้นเพราะโรคกระดูกพรุนไม่มีอาการ
บ่งชี้ในช่วงเริ่มต้น จนเมื่อรู้ตัวอีกทีก็มักจะสายเสียแล้ว"
"เป็นที่น่ากังวลว่า คนไทยรับประทานแคลเซียมน้อยมาก เฉลี่ยเพียงวันละ
361 มิลลิกรัม3 จากความต้องการต่อวันคือ 800 - 1,000 มิลลิกรัม4
ปัจจุบันยังพบว่าประชากรวัยหนุ่มสาวไปจนถึงวัยทำงานมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับ
ปัญหา
ความผิดปกติอันเกี่ยวเนื่องกับกระดูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยปัจจัยเสี่ยงที่มักพบบ่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถและการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง
เช่น ท่านอน นั่ง ยืน หรือแม้แต่การยกของหนัก แฟชั่นที่
อาจเป็นอันตรายต่อกระดูก เช่น การใส่รองเท้าส้นสูง
การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว หรือแม้แต่การสูบบุหรี่
และบริโภคเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และแอลกอฮอล์
ตลอดจนความนิยมการมีผิวขาวของผู้หญิงเอเชียก่อให้เกิดพฤติกรรมการหลบเลี่ยง
แสง
แดด ซึ่งเป็นแหล่งในการสังเคราะห์วิตามินดีที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
การบริโภคอาหารไม่ถูกสัดส่วน และขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น
เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของกระดูก
และอาจเกิดโรคกระดูกในที่สุด" นพ.สมบูรณ์กล่าวเพิ่มเติม
กระดูกเป็นอวัยวะที่มีชีวิตโดยมีเซลล์หลัก 2 ชนิด
ชนิดแรกมีหน้าที่สลายกระดูกเรียกว่า Osteoclast
และอีกชนิดหนึ่งมีหน้าที่สร้างกระดูกใหม่เรียกว่า Osteoblast ซึ่งเซลล์ทั้ง
2 ชนิดนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย
โดยช่วงเวลาของการสร้างและสลายกระดูกแบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้ 1.)
ช่วงการสร้างมวลกระดูกเริ่มต้นเมื่อแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 30 ปี 2.)
ช่วงการคงมวลกระดูกเมื่ออายุ 30 - 45 ปี 3.) ช่วงการสลายมวลกระดูกเมื่ออายุ
45 ปีขึ้นไป โดยการสร้างกระดูกใช้เวลานานถึง 4 เดือน
ในขณะที่แคลเซียมปริมาณเท่ากันถูกดึงออกจากกระดูกในระยะเวลาเพียง 4
สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้น
การได้รับแคลเซียมจากอาหารในปริมาณที่เหมาะสมตั้งแต่วัยเด็กจนวัยชราจะช่วย
ดูแลสุขภาพของกระดูกได้ดี และช่วยลดความเสี่ยงของปัญหากระดูกบางปัญหาได้
โดยช่วงอายุที่กระดูกดูดซึมแคลเซียมได้ดีที่สุดคือ 18 - 30 ปี
ดร. คีธ แรนดอล์ฟ
นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของสถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ เผยว่า
"แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุดคือ
การมีโภชนาการเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพกระดูกที่ถูกต้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการต่อ
วันจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นๆ
ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นคือ
วิตามินดี ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส แมกนีเซียม
เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
แร่ธาตุอื่นๆ ได้แก่ สังกะสี ทองแดง
แมงกานีส เป็นองค์ประกอบรวมที่ช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพกระดูกด้วยเช่นกัน
และรวมไปถึงสารสกัดเข้มข้นอัลฟัลฟา ที่นอกจากจะมีแร่ธาตุแล้ว
ยังมีไฟโตนิวเทรียนท์หลายชนิดที่ให้ผลดีต่อเมทา- บอลิซึม
ของสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูกอีกด้วย
เพราะฉะนั้นจึงควรหันมาเสริมแคลเซียมและสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพกระดูก
ตั้งแต่วัยเด็กหรือหนุ่มสาวในปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละช่วงวัยอย่าง
ต่อเนื่องตลอดชีวิต นอกเหนือจากการบริโภคอาหารให้ถูกต้องตามโภชนาการแล้ว
แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุด
คือการออกกำลังกายอย่างถูกวิธีสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง
การออกแดดในช่วงเช้า และเย็น และลดปัจจัยเสี่ยงต่อการทำลายกระดูกต่างๆ เช่น
สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ชา หรือกาแฟ
ก็จะมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพของกระดูกให้แข็งแรงได้
ปัญหาสุขภาพกระดูกไม่ใช่เรื่องไกลตัว
เราทุกคนมีโอกาสประสบกับโรคกระดูกพรุนได้ อาจไม่ใช่ในวันนี้
แต่พฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำร้ายกระดูกจะส่งผลอย่างแน่นอนในอนาคต
ยังไม่สายเกินไปที่เราจะหันมาดูแลสุขภาพกระดูกของตนเองและคนที่เรารักเช่น
เดียวกับการดูแลสุขภาพร่างกายส่วนอื่นๆ
เพื่อกระดูกแข็งแรงอยู่กับเราไปอีกนานเท่านาน
No comments :
Post a Comment